ไมเคิล บอคคาโดโร – การลดปริมาณก๊าซมีเทนเพื่อการทำฟาร์มโคนมอย่างยั่งยืน
อุตสาหกรรมโคนมจะช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมได้อย่างไร ในวันนี้คุณไมเคิล บอคคาโดโร ผู้อำนวยการด้านการดูแลโคนมและประธานของบริษัทเวสต์ โคสท์ แอดไวเซอร์จะมาอธิบายว่ารัฐแคลิฟอร์เนียเป็นผู้นำโลกในการลดการปล่อยก๊าซมีเทนจากโคนมได้อย่างไรและภูมิภาคอื่นจะนำเทคโนโลยีใหม่ด้านโคนมและวิธีการปฏิบัติดังกล่าวไปใช้เพื่อการทำฟาร์มโคนมที่ยั่งยืนได้อย่างไร
ข้อความด้านล่างนี้เป็นคำแปลจากการถอดเสียงจากพอดคาสต์ช่อง Ag Future ที่ทอม มาร์ตินได้สัมภาษณ์ไมเคิล บอคคาโดโร คลิกที่นี่เพื่อรับฟังเสียงสัมภาษณ์ฉบับเต็ม
ทอม : สวัสดีครับ ผมทอม มาร์ตินเป็นผู้ดำเนินรายการในวันนี้ และขอต้อนรับแขกรับเชิญของเราจากเมืองซาคราเมนโต้ รัฐแคลิฟอร์เนีย คุณไมเคิล บอคคาโดโร ผู้อำนวยการด้านการดูแลโคนมและประธานของบริษัทเวสต์ โคสท์ แอดไวเซอร์ครับ สวัสดีครับ คุณไมเคิล
ไมเคิล : สวัสดีครับ
ทอม : เรามาเริ่มกันด้วยการพูดถึงการนำเสนอของคุณในหัวข้อ“การลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากการทำฟาร์มโคนม” ในงาน ONE: The Alltech Ideas ซึ่งคุณได้พูดเกี่ยวกับวิธีปฏิบัติงานในฟาร์มที่ชาญฉลาดและทันสมัยของผู้เลี้ยงโคนมและครอบครัวของพวกเขาในรัฐแคลิฟอร์เนียกันดีกว่า
ดังนั้น เริ่มแรก ผมอยากจะให้คุณแสดงความคิดเห็นหน่อยครับว่ารัฐแคลิฟอร์เนียมีส่วนต่อก๊าซเรือนกระจกของโลกอย่างไรบ้าง
ไมเคิล : รัฐแคลิฟอร์ผลิตก๊าซเรือนกระจกในสิ่งแวดล้อมคิดเป็น 1% ของทั้งโลกครับ
ทอม : แล้วการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดเกิดขึ้นจากภาคการเกษตรเพียงอย่างเดียวเลยใช่หรือไม่ครับ
ไมเคิล : การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากภาคการเกษตรคิดเป็นเพียงแค่ 8% ของรัฐเท่านั้นครับ ส่วนมากจะมาจากการใช้พลังงานฟอสซิล การผลิตไฟฟ้า อุตสาหกรรม และสัดส่วนที่มากที่สุดก็คือการเดินทางซึ่งเป็นสัดส่วนที่มากถึงครึ่งหนึ่งของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของรัฐครับ
ทอม : แล้วเมื่อเจาะลึกลงไปในรายละเอียดแล้ว การปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากฟาร์มโคนมคิดเป็นสัดส่วนเท่าไหร่ครับ
ไมเคิล : สัดส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากฟาร์มโคนม การปลูกพืชอาหารสัตว์ และการใช้พลังงานในการเกษตรคิดเป็นสัดส่วนประมาณ 78 เปอร์เซ็นต์, 13 เปอร์เซ็นต์ และ 8 เปอร์เซ็นต์ตามลำดับครับ
ทอม : เมื่อพูดถึงโคนมก็ต้องพูดถึงก๊าซมีเทน แล้วทำไมการปล่อยก๊าซมีเทนจึงมีความสำคัญและน่าจับตามองครับ
ไมเคิล : มีเหตุผลหลายประการครับ ข้อแรกคือก๊าซมีเทนเป็นหนึ่งในก๊าซเรือนกระจกที่มีความสำคัญเนื่องจากเป็นมลพิษทางอากาศที่มีอายุสั้นโดยจะคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้ประมาณ 10 – 12 ปี ซึ่งต่างจากก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่เป็นก๊าซเรือนกระจกอีกตัวหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กันซึ่งจะคงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้หลายร้อยหรืออาจจะถึงหลายพันปีครับ
เหตุผลข้อที่สองก็คือก๊าซมีเทนมีศักยภาพมากกว่ากว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 24 – 48 เท่าครับ
แต่อย่างไรก็ตาม ก๊าซมีเทนก็คิดเป็นสัดส่วนที่น้อยมากเมื่อเทียบกับก๊าซเรือนกระจกทั้งหมดของรัฐแคลิฟอร์เนียและทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาครับ
ทอม : ทำไมการลดการปล่อยก๊าซมีเทนจึงเห็นผลได้เร็วกว่าการลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ครับ
ไมเคิล : ด้วยเหตุผลง่ายๆ ที่ว่าก๊าซมีเทนเป็นมลพิษทางอากาศที่คงอยู่ในสิ่งแวดล้อมได้เพียง 10 – 12 ปีครับ และจุดที่สำคัญมากก็คือ ก๊าซคาร์บอนไดออกไซดจะสะสมในสิ่งแวดล้อม ดังนั้นจึงมีก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สะสมเพิ่มขึ้นในทุกๆ ปี เหมือนกับการห่มผ้าให้หนาขึ้นไปเรื่อยๆ และนั่นทำให้โลกร้อนขึ้นนั่นเองครับ
สำหรับก๊าซมีเทนจะไม่สะสมในสิ่งแวดล้อมแบบเดียวกับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ เมื่อมีก๊าซมีเทนใหม่เกิดขึ้น ก๊าซมีเทนเดิมจากเมื่อ 12 ปีที่แล้วก็จะสลายไปจากสิ่งแวดล้อมครับ
ดังนั้น เราสามารถลดปริมาณก๊าซมีเทนในระยะสั้นได้โดยการทำให้อากาศเย็นลง ไม่ใช่ทำให้อากาศร้อนขึ้นนะครับ เพราะเมื่อคุณลดปริมาณก๊าซมีเทนลงเมื่อเทียบกับ 12 ปีที่แล้ว นั่นเท่ากับว่าปริมาณก๊าซมีเทนในสิ่งแวดล้อมในปีที่ 12 ก็จะน้อยลงไปด้วย ทำให้อากาศเย็นลงเล็กน้อย เมื่อคิดดูแล้วก็น่าทึ่งใช่มั้ยล่ะครับ
ทอม : ครับ น่าทึ่งมากจริงๆ ในปี 2559 สภานิติบัญญัติของแคลิฟอร์เนียได้ผ่านร่างกฏหมายการลดการปล่อยก๊าซมีเทนลงให้ได้ 40 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2573 ซึ่งเป็นกรอบเวลาที่ค่อนข้างเข้มงวดเลยนะครับ ตอนนี้ก็ผ่านมาสี่ปีแล้ว ผลเป็นอย่างไรบ้างครับ
ไมเคิล : เป็นคำถามที่ดีมากครับ ขณะนี้คณะกรรมการทรัพยากรทางอากาศของรัฐแคลิฟอร์เนียกำลังประเมินความคืบหน้าอยู่ครับ ผมเห็นถึงความก้าวหน้าสำหรับเกษตรกรผู้เลี้ยงโคนมในรัฐแคลิฟอร์เนียครับ พวกเขาทำหน้าที่ได้อย่างยอดเยี่ยมเลยทีเดียว
สิ่งที่มาช่วยลดปริมาณก๊าซมีเทนคือการผลิตก๊าซชีวภาพและการจัดการมูลสัตว์แบบทางเลือก เช่น ตัวแยกส่วนของแข็ง การเปลี่ยนจากระบบฉีดล้างไปเป็นระบบกวาด เป็นต้น ซึ่งเมื่อเราทำทั้งหมดที่กล่าวมารวมกันแล้ว เราจะสามารถลดปริมาณก๊าซมีเทนลงได้ 25 เปอร์เซ็นต์จาก 40 เปอร์เซ็นต์ภายในปี 2567 ดังนั้น ในช่วงสี่ปีสั้นๆ นี้ เราก้าวหน้าไปได้ด้วยดีและคาดว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างแน่นอนครับ
ทอม : คุณพูดว่ามีบางคนที่อาจจะเข้าใจกฏหมายอุตสาหกรรมโคนมในรัฐแคลิฟอร์เนียผิดไป ช่วยอธิบายเพิ่มเติมหน่อยครับว่าเข้าใจผิดไปอย่างไร
ไมเคิล : ความเข้าใจผิดนั้นคือคิดว่ากฏหมายนี้มีขึ้นคือเพื่อจัดโครงสร้างกฏหมายให้เหมาะสมซึ่งนั่นเป็นความคิดที่ผิดครับ จริงๆ แล้วเป็นสิ่งที่เราเรียกว่าแนวทางตามแรงจูงใจในการลดปริมาณก๊าซมีเทนจากอุตสาหกรรมโดยสมัครใจ
สิ่งที่ผมกำลังจะสื่อถึงก็คือรัฐกำลังเพิ่มการลงทุนในแง่ของเงินช่วยเหลือ การสนับสนุนการซื้อพลังงานและเชื้อเพลิงที่ผลิตขึ้น ดังนั้น แนวทางตามแรงจูงใจที่ว่านี้จึงนำไปสู่การลดปริมาณก๊าซมีเทนลงอย่างมีนัยสำคัญครับ
ซึ่งหากรัฐมีการใช้กฏหมายที่เข้มงวดเกินไป อาจส่งผลในทางตรงกันข้ามกับที่รัฐตั้งเป้าหมายไว้ ผมต้องขอชื่นชมหน่วยงานของรัฐที่ตระหนักถึงเรื่องนี้ ผลที่จะเกิดขึ้นก็ถ้ามีการใช้กฎบังคับที่เข้มงวดเกินไปจะเป็นการกดดันผลิตภัณฑ์นมและการผลิตน้ำนมให้ออกจากแคลิฟอร์เนียได้ เนื่องจากความต้องการน้ำนมยังคงเพิ่มขึ้นทั่วโลก การกดดันให้ผู้ประกอบการย้ายการการผลิตนี้ไปยังพื้นที่อื่น ซึ่งมีประสิทธิภาพการผลิตที่น้อยกว่าและยังสร้างก๊าซมีเทนต่อน้ำนม 1 แกลลอนสูงกว่าเมื่อเทียบกับการผลิตในรัฐแคลิฟอร์เนีย นั่นเป็นการส่งผลที่ตรงกันข้ามกับที่รัฐตั้งใจและท้ายที่สุดทำให้มีปริมาณก๊าซมีเทนมากขึ้นและทำให้โลกร้อนขึ้น
ทอม : ในช่วงแรก พลังงานที่ถูกผลิตขึ้นจากการบำบัดก๊าซมีเทนจะถูกขายให้แก่โรงผลิตไฟฟ้าเครือข่ายของรัฐ แล้วตอนนี้มีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อย่างไรบ้างครับ
ไมเคิล : มีการเปลี่ยนแปลงครับ โครงการแรกๆ ของเราคือการผลิตกระแสไฟฟ้าโดยใช้เครื่องยนต์สันดาปในฟาร์มโคนม โดยมีการใช้พลังงานบางส่วนภายในฟาร์ม แต่โดยส่วนใหญ่แล้วจะถูกขายให้กับโครงข่ายไฟฟ้า, นักลงทุนด้านสาธารณูปโภคในรัฐที่ขายต่อพลังงานไฟฟ้านั้นไปยังผู้บริโภคขั้นสุดท้าย และเรากำลังจะเปลี่ยนแปลงจากจุดนั้นครับ
ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรากำลังเปลี่ยนไปสู่การผลิตก๊าซธรรมชาติที่นำกลับมาใช้ใหม่ และโดยพื้นฐานแล้ว ก๊าซเหล่านี้สามารถใช้ในภาคขนส่งเพื่อทดแทนการใช้น้ำมันดีเซลในรถบรรทุกที่ใช้งานหนักได้ ดังนั้น นอกจากจะลดปริมาณก๊าซมีเทนลงได้แล้ว เรายังสามารถลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในการขนส่งอีกด้วย ดังนั้น เราจึงเห็นรถบรรทุกก๊าซธรรมชาติที่นำกลับมาใช้ใหม่นี้เพิ่มมากขึ้นในรัฐแคลิฟอร์เนีย และผมคิดว่าเพิ่มขึ้นทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาในระดับหนึ่งด้วยเช่นกันครับ
แต่มันเป็นเพียงแค่ครึ่งทางสำหรับเราที่จะสร้างรายได้เพิ่มขึ้นจากโครงการเหล่านี้ มันสำคัญที่จากทำโครงการนี้ให้ยั่งยืนทั้งมุมมองทั้งทางเศรษฐกิจและสิ่งแวดล้อม ดังนั้นโครงการนี้จะไปได้ไกลกว่านี้เมื่อเกษตรกรจะสามารถสร้างรายได้เพียงพอที่พวกเขาจะเห็นความสำคัญและตัดสินใจลงทุนในโครงการนี้
ทอม : คุณไมเคิลครับ ตอนนี้เรากำลังมุ่งความสนใจไปที่ก๊าซมีเทนก็จริง แต่ผมกำลังสงสัยว่าแล้วเราจะลดปริมาณมลพิษชนิดอื่นได้ด้วยหรือไม่ครับ
ไมเคิล : เป็นคำถามที่ดีครับ โปรแกรมการจัดการก๊าซเรือนกระจกในแคลิฟอร์เนีย ไม่เพียงลดก๊าซมีเทนแต่ยังลดมลพิษทางอากาศทั่วไปอย่างมีนัยสำคัญด้วย ซึ่งมลพิษทางอากาศเหล่านี้คือตัวการทำให้เกิดหมอกควันในรัฐแคลิฟอร์เนียเป็นหลัก
ฟาร์มโคนมส่วนใหญ่ของรัฐอยู่ในเขตซาน โจควิน วัลเลย์ซึ่งเป็นเขตที่มีอากาศเลวร้ายที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศ ดังนั้นการลดมลพิษทางอากาศจึงมีความสำคัญเป็นอย่างมากครับ
แต่เราได้เห็นการลดลงของไนตรัสออกไซด์และสารประกอบอินทรีย์ เช่น แอมโมเนีย, ไฮโดรเจน ซัลไฟด์ เป็นต้น และเราได้เห็นประโยชน์ของคุณภาพน้ำจากโครงการนี้เช่นกัน ดังนั้น โครงการนี้ยอดเยี่ยมและมีความสำคัญจากทั้งมุมมองด้านสิ่งแวดล้อมและมุมมองของเกณฑ์ค่าระดับมลพิษทางอากาศ
แต่เมื่อเรานำก๊าซไปใช้กับภาคขนส่ง การลดลงของไนตรัสออกไซด์และเขม่าจากเครื่องยนต์ดีเซลที่ลดลงเป็นอย่างมาก ทำให้เห็นว่าคุณภาพอากาศจากเชื้อเพลิงที่เผาไหม้จะสะอาดกว่าอากาศจากน้ำมันดีเซลที่ใช้สำหับรถบรรทุก
ทอม : มีแนวทางปฏิบัติเพิ่มเติมเพื่อลดการปล่อยมลพิษจากฟาร์มในรัฐแคลิฟอร์เนียหรือไม่ครับ
ไมเคิล : มีครับ เราเรียกว่าโปรแกรมการจัดการมูลสัตว์แบบทางเลือกซึ่งได้รับงบสนับสนุนจากกระทรวงอาหารและการเกษตรของรัฐแคลิฟอร์เนียเช่นกันครับ
โดยทั่วไปแล้ว แนวคิดของการผลิตก๊าซชีวภาพคือจับก๊าซมีเทนที่ถูกผลิตขึ้นมาใช้ ส่วนแนวคิดเกี่ยวกับการจัดการมูลสัตว์แบบทางเลือกคือป้องกันไม่ให้เกิดก๊าซมีเทนขึ้นตั้งแต่แรก ดังนั้น เราจึงมุ่งเน้นไปที่การจัดเก็บมูลสัตว์ไม่ให้อยู่ในสภาวะไร้ออกซิเจนซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อเก็บมูลไว้ในบ่อเพื่อให้สามารถใช้เป็นปุ๋ยคอกเพื่อเพาะปลูก และแนวทางปฏิบัติอื่นเช่น การแยกกาก, คอกที่มีวัสดุรองพื้นที่หมักย่อย (Compost pack barns) และการเปลี่ยนจากระบบล้างมูลเป็นระบบกวาดมูลแบบคราด (Scrape system) หรือระบบสุญญากาศ โดยการจัดการมูลให้แห้งมากขึ้นจะช่วยลดการผลิตก๊าซมีเทนได้ค่อนข้างมากเลยทีเดียวครับ
ตอนนี้ได้มีการนำโปรแกรมเหล่านี้ไปใช้ในฟาร์มโคนมขนาดเล็กบางแห่งในรัฐแคลิฟอร์เนียแล้ว และฟาร์มโคนมขนาดใหญ่ก็มีแนวโน้มที่จะเริ่มใช้โปรแกรมเหล่านี้ตามซึ่งจะส่งผลดีทางเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น
ทอม : ผมเชื่อว่าเมื่อมีการนำเทคโนโลยีและโปรแกรมเหล่านี้มาปรับใช้ จะเกิดโอกาสที่ดีในการเรียนรู้ขึ้นอย่างแน่นอนครับ คุณได้เรียนรู้อะไรบ้างครับจากสิ่งเหล่านี้
ไมเคิล : ผมคิดว่าเราได้เรียนรู้อะไรหลายอย่างและกำลังเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เลยครับ เชื่อผมเถอะว่าไม่ง่ายเลยในการทำโครงการเหล่านี้ ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดที่เราได้เรียนรู้ก็คือการผลิตก๊าซชีวภาพและโปรแกรมอื่นๆ รวมถึงแนวทางลดปริมาณก๊าซมีเทนด้วยสิ่งแรงจูงใจถือว่าไปได้ดีทีเดียวครับ
ผมหวังว่ารัฐแคลิฟอร์เนียจะเดินหน้าต่อไปเพราะเป็นสิ่งที่สำคัญมาก และจากมุมมองระดับโลก ผมคิดว่าพวกก็กำลังเข้าใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับการที่ประเทศอื่นๆ จะหาวิธีที่จะรักษาควบคุมและจัดการก๊าซมีเทนของแต่ละประเทศ และวิธีที่ดีที่สุดคือการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิตนั่นเองครับ
รัฐแคลิฟอร์เนียและประเทศสหรัฐอเมริกามีประสิทธิภาพการผลิตที่ดีมาก เราผลิตน้ำนมได้มากขึ้นด้วยจำนวนโคที่น้อยลงมาก และหากเราสามารถทำให้ประเทศอื่นๆ ในโลกทำตามแบบเราได้ เราก็จะสามารถยกระดับประสิทธิภาพการผลิตทั่วโลกได้และจะสามารถลดก๊าซเรือนกระจกทั่วโลกลงได้ 1.72 เปอร์เซ็นต์จากการคำนวณโดยนักวิจัยของเราที่มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนียเมื่อไม่นานมานี้ ซึ่งนั่นเป็นปริมาณที่เยอะมาก
หากคุณย้อนกลับไปช่วงเริ่มต้นบทสนทนาของเราซึ่งผมได้กล่าวไว้ว่ารัฐแคลิฟอร์เนียผลิตก๊าซเรือนกระจกคิดเป็น 1% จากก๊าซที่ผลิตทั่วโลก ดังนั้น ก๊าซมีเทนจะลดลง 1.72 เปอร์เซ็นต์ได้เพียงแค่ทำให้การผลิตจากโคนมในแหล่งอื่นทั่วโลกอยู่ในระดับเดียวกันกับในรัฐแคลิฟอร์เนีย มันน่าทึ่งมากครับ เป็นความสำคัญเกือบ 2 เท่าของการที่รัฐแคลิฟอร์เนียจะมีคาร์บอนสุทธิเป็นศูนย์
ดังนั้นจึงไม่สามารถพูดได้อย่างชัดเจนว่าเราได้เรียนรู้อะไรมากมายในรัฐนี้ เราจำเป็นต้องคาดการณ์ถึงสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้น ไม่ใช่แค่ในรัฐ ไม่ใช่แค่ในประเทศสหรัฐอเมริกา ไม่ใช่แค่ทวีปอเมริกาเหนือ แต่รวมถึงส่วนอื่นๆ ในโลกด้วย
ทอม : ฟังดูเหมือนว่ารัฐแคลิฟอร์เนียจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับประเทศและโลกได้นะครับ ไม่ทราบว่าจะหาข้อมูลเพิ่มเติมว่ารัฐแคลิฟอร์เนียกำลังทำอะไรบ้างเพื่อลดปริมาณก๊าซเรือนกระจกได้ที่ไหนครับ
ไมเคิล : เว็บไซต์ของเรา www.dairycares.com จะพาคุณไปยังเว็บไซต์อื่นๆ ที่สำคัญของแคลิฟอร์เนีย และผมคิดว่าอีกที่ที่ควรเข้าชมคือมหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย-เดวิส และ Clear Center ที่ดำเนินการโดยดร.แฟรงค์ มิทโลห์เนอร์ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในนาม “GHG Guru” ซึ่งบนเว็บไซต์ของเขาก็มีข้อมูลเหล่านี้มากมายเช่นเดียวกันครับ
ทอม : คำถามต่อไปนี้แทบจะไม่เกี่ยวข้องกับก๊าซมีเทนเลย แต่ผมจำเป็นต้องถามคุณในช่วงเวลานี้นะครับ การแพร่ระบาดของเชื้อโคโรนาไวรัสและโควิด-19 มีผลกระทบต่ออุตสาหกรรมโคนมอย่างไรบ้างครับ
ไมเคิล : มันเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบากมากครับสำหรับการแพร่ระบาดโควิด-19 แต่เกษตรกรต่างปรับตัวได้เป็นอย่างดี และผมคิดว่าความยากลำบากอย่างแรกก็คือช่องทางในการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ เพราะปกติแล้ว ยอดขายน้ำนมส่วนใหญ่จะมาจากร้านอาหาร แต่พอมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทั้งร้านอาหารและโรงเรียนถูกปิดหมด ทุกอย่างเปลี่ยนไปเพียงชั่วข้ามคืน
ร้านขายของชำกลายเป็นช่องทางจัดจัดหน่ายที่มีความสำคัญขึ้นมาแทนที่ร้านอาหารและโรงเรียนซึ่งเป็นช่องทางจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์จากนมเป็นหลักในช่วงเวลาปกติแต่ถูกปิดไปในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นก็คือมีความล่าช้าในการจัดนำหน่ายเป็นเวลาหลายเดือนเนื่องจากรถขนส่งสินค้าไปยังร้านขายของชำไม่เพียงพอต่อการขาย และต้องมีการปรับเปลี่ยนจากการที่รถขนส่งสินค้าจะจัดส่งผลิตภัณฑ์ให้กับร้านอาหารและโรงเรียนเป็นหลักมาเป็นร้านขายของชำแทนซึ่งค่อนข้างลำบากทีเดียว
ผมคิดว่าถ้าไม่นับเรื่องนี้ อุตสาหกรรมโคนมก็มีการปรับตัวได้ค่อนข้างดีเลยทีเดียว แม้ว่าจะมีปัญหาเรื่องการระบาดเล็กน้อยในโรงงานบางแห่ง แต่โดยส่วนใหญ่แล้ว ผมคิดว่าเราผ่านสถานการณ์นี้ไปได้อย่างค่อนข้างจะเป็นไปตามที่เราได้คาดหวังเอาไว้
ทอม : จากข้อมูลที่คุณมีอยู่และการที่คุณได้จับตามองเทรนด์มาโดยตลอด คุณคิดว่าอนาคตของฟาร์มโคนมจะเป็นอย่างไรบ้างครับ
ไมเคิล : ผมคิดว่าอนาคตสดใสเลยทีเดียวครับ ผมเห็นได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของผู้บริโภคอย่างชัดเจน มีคู่แข่งมากมายในตลาดผลิตเครื่องดื่ม ซึ่งทำให้ยอดจำหน่ายน้ำนมของแต่ละเจ้านั้นลดลง ซึ่งอาจจะยังลดลงอย่างต่อเนื่องหรือไม่ก็ได้
แต่ในขณะที่เนย ชีส โยเกิร์ตและผลิตภัณฑ์อื่นจากน้ำนมได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก และในปัจจุบัน ผู้บริโภคไม่ได้ให้ความสำคัญเพียงแค่สารอาหารเพียงอย่างเดียว แต่ยังมองถึงความปลอดภัยทางอาหาร รวมไปถึงว่าผลิตภัณฑ์นั้นสร้างผลต่อสิ่งแวดล้อมอย่างไรอีกด้วย ซึ่งเป็นเรื่องที่เราต้องใส่ใจเพิ่มมากขึ้น
และเรื่องสุดท้ายที่ผมอยากจะพูดถึงก็คือการผลิตน้ำนมโดยใช้ทรัพยากรที่ลดลง ทั้งทรัพยากรน้ำ พลังงาน และพลังงานฟอสซิล มีความสำคัญอย่างมากเพราะจะทำให้นมทุกแก้วที่ผลิตได้มีความยั่งยืนเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นหัวใจสำคัญในการทำให้อุตสาหกรรมโคนมยังคงเติบโตและดำเนินการผลิตน้ำนมต่อไปได้เรื่อยๆ
ทอม : สุดท้ายนี้ต้องขอขอบคุณคุณไมเคิล บอคคาโดโร ผู้อำนวยการด้านการดูแลโคนมและประธานของบริษัทเวสต์ โคสท์ แอดไวเซอร์ ที่ให้เกียรติมาพูดคุยกับเราในวันนี้เป็นอย่างสูงครับ
ไมเคิล : ด้วยความยินดีครับ ขอบคุณเช่นกันครับที่เชิญผมมาในวันนี้